วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กรรมวิธีและวัตถุดิบในการสร้างพระ

กรรมวิธีและวัตถุดิบในการสร้างพระ
กรรมวิธีการสร้างพระ สามารถจำแนกตามลักษณะของวัตถุดิบในการจัดสร้างเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทพระเครื่อง และ ประเภทเครื่องราง
ประเภทพระเครื่อง ได้แบ่งการสร้างพระเครื่องออกเป็น
1. การสร้างพระเนื้อดิน
2. การสร้างพระเนื้อชิน
3. การสร้างพระเนื้อผง
4. การสร้างพระเนื้อโลหะ ประเภทพระหล่อ พระปั้ม พระฉีด
5. การสร้างพระเนื้อว่าน
6. การสร้างพระจากวัสดุอื่นๆ

1. การสร้างพระเนื้อดิน
พระเนื้อดิน นับเป็นพระที่มีอายุการสร้างเก่าแก่ที่สุด โดยการนำดินอันเป็นวัสดุหาง่าย คงทน มาสร้างสรรค์ปฏิมากรรมได้สะดวก นอกจากนี้มนุษย์ยังมีความเชื่อ นับถือ ยกย่อง ดินประดุจเทพเจ้าที่ทรงคุณเอนกอนันต์ ในนามของ “แม่พระธรณี” ซึ่งดินที่นำมาสร้างพระล้วนเป็นดินที่นำมาจากศาสนสถานสำคัญ ศักดิ์สิทธิ์ หรือสถานที่เป็นมงคล ในการนำดินมาสร้างพระทุกครั้ง ต้องมีการทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีแม่พระธรณี เจ้าที่เจ้าทาง และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้สถิตรักษาทุกครั้ง ต้องมีการทำพิธีบวงสรวง ขอบารมีอภินิหารให้มีต่อพระเครื่องและเครื่องรางที่สร้าง นอกเหนือจากส่วนผสมอื่นๆ ที่ได้ผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าดีและให้คุณ ที่จะส่งเสริมความเป็นมงคลแก่พระเครื่องและเครื่องรางที่จะสร้าง ความพิถีพิถันในการเสาะหาและเตรียมวัตถุดิบเป็นเรื่องสำคัญมากประการหนึ่งที่ผู้สร้างวัตถุมงคลต่างๆ ให้ความสำคัญและถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาช้านาน ด้วยเชื่อว่าพระเครื่องและเครื่องรางที่จะสร้างขึ้นนี้ต้องมีความดีนอกและดีใน ดีในหมายถึงวัตถุดิบที่นำมาสร้างต้องล้วนเป็นของดีมีมงคล ดีนอกหมายถึงต้องผ่านการปลุกเสกอย่างดี ผ่านพิธีกรรมที่ถูกต้องและเข้มขลัง โดยพระคณาจารย์ผู้เรืองเวทย์วิทยาคุณสูง รวมถึงผู้ทำพิธีอันจะก่อเกิดความเข้มขลังให้กับพระเครื่องและเครื่องรางที่ผ่านขั้นตอนที่สำคัญนี้แล้ว
ดังนั้น เป็นความเชื่อถือที่ยึดมั่นกันมาแต่ครั้งโบราณว่า “พระเครื่องและเครื่องรางของขลังที่ดีจริง ต้องดีนอก ดีใน คือ วัตถุที่นำมาสร้างต้องล้วนเป็นของงดี ผู้สร้างต้องดีพร้อม และผ่านพิธีกรรมที่ดี” จากจุดนี้เราจึงเข้าใจว่าเหตุใด พระเครื่องและเครื่องรางของขลังจึงมีความศักดิ์สิทธิ์ พระทุกประเภททุกเนื้อเครื่องรางทุกชนิด ล้วนเห็นข้อพึงปฏิบัติในการสร้างวัตถุมงคลนี้ โดยมีกฎเหล็กที่พึงต้องกระทำอย่างเคร่งครัด
เมื่อได้วัตถุดิบที่ต้องประสงค์แล้ว ก็จะนำวัตถุดิบต่างๆมาผสมคลุกเคล้ากัน โดยมีดินเป็นมวลสารหลัก ในการยึดประสานมวลสารต่างๆให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้น จึงนำส่วนผสมไปกดลงในแม่พิมพ์ที่แกะเค้าโครงรูปร่างของพระเครื่องที่ต้องการ เมื่อนำพระที่กดลงในแม่พิมพ์ออกจากพิมพ์แล้ว จึงนำพระมาเรียง แล้วผ่านกรรมวิธีทำให้แห้ง ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.1 พระที่ผ่านการเผา นับเป็นการสลายความชื้นและคงรูปวัตถุ ทำให้เกิดมวลสารของพระเครื่องเป็นแบบดินสุก หรือดินสีหม้อใหม่ เช่นเดียวกับการทำภาชนะเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ หากแต่ในสมัยโบราณ การเผาพระไม่มีเครื่องมือในการตรวจวัดอุณหภูมิความร้อนให้คงที่และสม่ำเสมอ จึงทำให้พระที่ผ่านการเผาออกมา มีสีต่างๆกัน ตามระดับอุณหภูมิความร้อนสูงหรือต่ำที่ได้รับ
นอกจากนี้จากการค้นคว้าศึกษายังพบว่า พระเครื่องที่ผ่านการเผายังมี 2 ลักษณะคือ พระที่ผ่านการเผาเป็นเวลานานในอุณหภูมิความร้อนที่สูง กับพระที่ผ่านการเผาพอประมาณ ใช้เวลาในการเผาไหม้ไม่นานนัก หรืออาจจะเรียกว่า ผ่านการอบให้แห้ง โดยมวลสารคายความชื้นออก เพื่อความยึดติดเข้ารูป เป็นเหตุให้พระออกมามีหลายสี แต่คงไว้ซึ่งมวลสารส่วนผสมปรากฎเห็นชัดเจนกว่าพระที่ผ่านการเผาครบขบวนการทำเครื่องปั้นดินเผาที่มีผลให้มวลสารบางชนิดถูกเผาไหม้ไป ซึ่งตัวอย่างของพระที่ผ่านการเผาทั้ง 2 ลักษณะ มีดังนี้
พระที่ผ่านการเผาจนครบขั้นตอน ได้แก่ พระรอด พระนางพญา พระกรุทุ่งเศรษฐี พระหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค เป็นต้น
พระที่ผ่านการอบให้แห้ง ได้แก่ พระผงสุพรรณ พระซุ้มกอดำ เป็นต้น
1.2 พระที่ผ่านการตากแดดให้แห้ง พระประเภทนี้เราเรียกว่า “พระดินดิบ” ซึ่งหมายถึง มวลสารถูกแยกน้ำออก ด้วยวิธีการตากแดดให้แห้ง ความแข็งแกร่งคงทนจะน้อยกว่าพระที่ผ่านการเผา ดินจะสามารถละลายตัวหากนำมาแช่น้ำทิ้งไว้ พระเนื้อดินดิบ ได้แก่ พระเครื่องศิลปะศรีวิชัยที่พบทางใต้ เช่น พระเม็ดกระดุม เป็นต้น
นอกจากนี้ยังพบว่าในพระเนื้อดินมวลสารหรือเนื้อของดินได้สามารถแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
ก. ประเภทเนื้อละเอียด หมายถึง ก่อนที่จะนำดินมาผสมกับมวลสารอื่นๆ ดินที่นำมาสร้างพระนั้นได้ผ่านการร่อนกรองจนละเอียดแล้ว พระที่สร้างออกมาจึงมีความนวลเนียนของพื้นผิว เช่น พระกำแพงกลีบบัว พระกำแพงซุ้มยอ พระกำแพงทุ่งเศรษฐี เป็นต้น
ข. ประเภทเนื้อหยาบ หมายถึง ดินที่นำมาสร้างพระ ได้ผ่านการร่อนกรองมาแล้วแต่ไม่มากจนได้เนื้อดินละเอียด ยังคงปรากฏมีเม็ดแร่ กรวด ทราย ปะปนอยู่ด้วย มองเห็นชัดเจน เช่น พระชุดขุนแผนบ้านกร่าง เป็นต้น

2. การสร้างพระเนื้อชิน
พระเนื้อชินถือเป็นพระเนื้อโลหะประเภทหนึ่งที่เกิดจากการผสมผสานของแร่หลัก 2 ชนิด คือ ดีบุก กับตะกั่ว เกิดเป็นโลหะเจือชนิดใหม่ที่เรียกว่า “เนื้อชิน” หากเรามองลึกลงไปถึงคุณสมบัติของธาตุหลักทั้ง 2 ชนิด คือ
ดีบุก เป็นแร่ธาตุที่พบมากที่สุดประเภทหนึ่งในประเทศไทย สามารถแยกหาดีบุกออกจากสิ่งปะปนได้อย่างง่ายๆด้วยวิธีแรงโน้มถ่วง โดยการร่อนแร่ ซึ่งกระทำได้ไม่ยุ่งยาก หากต้องการ ดีบุกที่บริสุทธิ์มากขึ้น ก็สามารถนำไปย่างเพื่อขจัดซัลไฟด์ หรือธาตุที่แผงอยู่ในดีบุก
ดีบุก เป็นธาตุที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ที่อุณหภูมิ 231.9 องศา แปรรูปง่าย เกิดโลหะเจือกับโลหะได้หลายชนิด ทำให้คุณสมบัติของโลหะใหม่มีอานุภาพป้องกันการผุกร่อนได้ นอกจากนี้ยังนำไฟฟ้าต่ำ
ตะกั่ว เป็นแร่ธาตุที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์ตั่งแต่สมัยโบราณ มีหลักฐานยืนยันว่ามนุษย์รู้จักนำตะกั่วมาใช้ทำประโยชน์ตั้งแต่ 4000 ปีก่อนคริสตกาล รวมวิธีการถลุง ตะกั่วไม่ยุ่งยาก เพียงผ่านขบวนการเผา
ตะกั่ว เป็นธาตุที่มีจุดหลอมเหลวต่ำ ที่อุณหภูมิ 327 องศา มีน้ำหนัก นับเป็นโลหะอ่อนมีแรงตึง หรือ แรงรองรับต่ำ โลหะตะกั่วจึงไม่เหมาะกับการใช้งานที่ต้องรับน้ำหนักมากๆ แต่ความอ่อนตัวของตะกั่วมีประโยชน์ที่ทำให้โลหะผสมสามารถแปรรูปได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะทำให้เป็นแผ่นบางๆ หรือนำโลหะผสมให้สามารถแทรกซอนไปตามความลึกของแม่พิมพ์ ก่อให้เกิดลวดลายงดงามตามจินตนาการของช่างได้ นอกจากนี้ ยังนำไฟฟ้าต่ำ
จากคุณสมบัติของธาตุทั้งสองชนิดดังกล่าว เราจะพบว่ามีความสอดคล้องเหมาะสมในการนำมาหลอมรวมกันเป็นโลหะใหม่ ที่มีจุดหลอมเหลวต่ำทั้งคู่ สามารถกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันได้ มีความอ่อนนิ่มที่สามารถจับรายละเอียดแม้เพียงบางเบาเล็กน้อยของแม่พิมพ์ได้ แม้รูปทรงจะมีความบางเรียบแบน ก็สามารถขึ้นรูปได้ ทั้งทนทานต่อความผุกร่อน และมีความนำไฟฟ้าต่ำ ทำให้ปลอดภัยเมื่อนำพกติดตัว
เนื้อชิน จึงนับเป็นโลหะที่มีคุณสมบัติพิเศษ ลงตัว เหมาะสมที่จะนำมาสร้างพระเครื่องได้เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นภูมิปัญญาของบรรพชนไทยอันชาญฉลาดและลึกล้ำในการสร้างพระเนื้อชิน เพื่อสืบทอดพระศาสนาและศิลปวัฒนธรรมอันดีงามยิ่งใหญ่ ในรูปแบบของพระเครื่องตกทอดสู่อนุชนรุ่นหลัง พระเนื้อชินมี 3 ประเภทคือ
2.1 พระเนื้อชินเงิน คือพระที่มีส่วนผสมของดีบุกมาก พระที่พบจะมีสีเงินยวงจับองค์พระอย่างงดงาม พระเนื้อชินเงินนี้จะปรากฏลักษณะตามธรรมชาติในรูปของเกล็ดกระดี่ และสนิมตีนกา ตามองค์พระ เช่น พระหูยาน ลพบุรี พระนาคปรก วัดปืน เป็นต้น
2.2 พระเนื้อชินสนิมแดง คือพระที่มีส่วนผสมของตะกั่วมาก พระที่พบจะมีลักษณะคล้ายพระชินเงิน แต่มีไขสนิมแซม ตามซอกพระ เช่น พระมเหศวร พระสุพรรณหลังผาน พระลีลากำแพงขาว เป็นต้น
2.3 พระเนื้อตะกั่วสนิมแดง ถือเป้นพระเครื่องประเภทเนื้อชิน ที่มีส่วนผสมของตะกั่วมากที่สุดถึง 90% พระที่พบจึงมีสีแดงของสนิมตะกั่วจับอยู่ในเนื้อพระเป็นสีแดง ที่เรียกว่า “แดงลูกหว้า” ตัวอย่างเช่น พระร่วงหลังลายผ้า-พระร่วงหลังรางปืน พระท่ากระดาน และพระร่วงพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น
กรรมวิธีการสร้างพระเนื้อชิน ถือเป็นการหลอมเหลวรวมแร่ธาตุสำคัญดังที่กล่าวข้างต้น ข้อสำคัญคือมีการแกะแม่พิมพ์ให้งดงาม อลังการ ตามจินตนาการของช่าง พระที่พบส่วนมากจะเป็นศิลปะสกุลช่างหลวง เพราะแม้ว่า พระเนื้อชินจัดเป็นพระที่ไม่ยุ่งยากในการสร้าง หากในสมัยโบราณกรรมวิธีนี้ถือเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการและอาศัยแรงคนจัดทำมิใช่น้อย ดังนั้นผู้ที่สามารถสร้างพระเนื้อชินได้ จะต้องดำรงตำแหน่งอยู่ในชั้นเจ้านาย หรือระดับผู้นำ ที่สามารถสั่งบัญชาการได้ จึงถือว่าพระเนื้อชินเป็นพระเครื่องชั้นสูงมาแต่โบราณ ประการสำคัญ การพบพระเนื้อชินส่วนมากจะพบในกรุตามโบราณสถานสำคัญ ซึ่งถือเป็นเรื่องยากที่สามัญชนจะกระทำการได้
พระเนื้อชิน นับว่าเป็นพระเครื่องที่มีบทบาทสูง เป็นที่ครองใจผู้คนมานานนับแต่โบราณความยึดถือศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพระเนื้อชินนั้นเป็นรากลึกในจิตใจ ทั้งยังปรากฏเห็นผลให้เล่าขานเลื่องลือตกทอดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พระเนื้อชิน ถือเป็น “อมตพระเครื่องยอดนิยมตลอดกาล”

3. การสร้างพระเนื้อผง
ถือเป็นขบวนการหนึ่งในศาสตร์ศิลปแขนงวิชาการปั้นปูน ซึ่งมวลสารในการปั้นมีส่วนผสมของปูนเป็นหลักใหญ่ประสานเนื้อด้วยยางไม้ กาวหนัง น้ำอ้อยหรือขี้ผึ้งชั้นดี และเป็นวิทยาการที่ศิลปินกรีก-โรมันกับอินเดียดึกดำบรรพ์ได้ใช้ปั้นพระพุทธรูปก่อนที่มีการนำกรรมวิธีนี้มาใช้ในการสร้างพระเครื่อง
พระเครื่องเนื้อผง ที่มีความเก่าแก่ที่สุดในประเทศคือ พระกรุวัดทัพข้าว จังหวัดสุโขทัย รองลงมาคือ พระสมเด็จอรหัง วัดมหาธาตุ สร้างโดย สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 หรือที่รู้จักกันในนาม พระสังฆราชสุกไก่เถื่อน และพระสมเด็จอรหังนี้ถือเป็นต้นแบบในการสร้างพระเนื้อผง รูปทรงสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก ซึ่งสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อประมาณปี พ.ส.2360
สมเด็จพระสังฆราชสุก (ไก่เถื่อน) นี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ที่สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เคารพเป็นอย่างยิ่ง และถือเอาวัตรปฏิบัติ ตลอดจนวิธีการสร้างพระขององค์พระอาจารย์องค์นี้มาสร้างสมเด็จวัดระฆัง พระสมเด็จบางขุนพรหม และพระสมเด็จเกศไชโย อันนับเป็นพระเนื้อผงที่ได้รับความศรัทธานิยมสูงสุดมาโดยตลอด ดังนั้นขั้นตอนกรรมวิธีการสร้างพระเนื้อผงในลำดับต่อๆมา จึงได้ยึดเอาขั้นตอนกรรมวิธี การจัดเตรียม การสร้าง และการปลุกเสก ตามอย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นปัจจัยหลักปฏิบัติ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ คือ
3.1 การจัดเตรียมวัสดุ เป็นที่ทราบกันดีว่ามวลสารหลักในพระเนื้อผงก็คือ ผงปูนขาว ซึ่งโบราณจะใช้เปลือกหอยมาเผาไฟ แล้วบดให้ละเอียด เรียกว่า “ผงปูนเปลือกหอย” ซึ่งมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกัน
เมื่อได้มวลสารหลัก ก็จัดเตรียมผงที่เป็นมงคลต่างๆ อาทิเช่น ว่านดอกไม้ แร่ทรายเงิน ทรายทอง วัสดุศักดิ์สิทธิ์ เป็นมงคลทั้งหลายที่เห็นสมควรนำมาเป็นส่วนผสมนำมาบดเป็นผง เป็นต้น
สิ่งที่ช่วยประสานเนื้อผง และทัพสัมภาระทั้งหลาย ให้เกาะติดเป็นเนื้อเดียวกันในสมัยโบราณจะใช้กล้วยน้ำ และน้ำมันตังอิ๊ว (กล้วยน้ำเป็นคำโบราณ = กล้วยน้ำว้า , น้ำมันตังอิ๊วเป็นยางไม้ชนิดหนึ่งผสมกับน้ำมัน ทำให้เกิดความเหนี่ยว)
จากสูตรการสร้างพระเนื้อผงของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี (ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้าง “สูตรนิยม” หรือ “สูตรครู” ในการสร้างพระเนื้อผงต่อๆมา) และในมวลสารของพระเครื่องที่สมเด็จโตสร้าง ท่านให้ความสำคัญกับธาตุแท้แห่งคุณวิเศษ คือ ผงวิเศษ 5 ประการ อันประกอบด้วย ผงปถมัง อิธเจ มหาราช พุทธคุณ และตรีนิสิงเห ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นชื่อของผงแต่ละชนิดแล้วนำมารวมผสมคลุกเคล้ากัน หากแต่เป็นผงชุดเดียวกันที่ผ่านกรรมวิธีซับซ้อนถึง 5 ขั้นตอนในการสร้าง โดยเริ่มต้นที่การสร้างผงปถมังก่อน แล้วเอาผงปถมังนั้นมาทำเป็นผงอิธะเจ แล้วสร้างต่อเนื่องจากผงเดิมจนครบกระบวนการทั้ง 5 อันนับเป็นภูมิปัญญาและสมบัติล้ำค่าต่อมวลมนุษยชาติสืบมา ได้รับรู้ ศึกษากรรมวิธี และนำเป็นต้นแบบที่ดีในการสร้างวัตถุมงคลเนื้อผง
ขั้นตอนการทำผงวิเศษ 5 ประการ ของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
1) การสักการะบูรพาจารย์ นับเป็นประเพณีในการศึกษษพุทธาคมมาแต่ครั้งโบราณ ที่ผู้ศึกษาจะต้องทำพิธีสักการบูรพาจารย์ก่อนกระทำการใดๆ เพื่อความเป็นสิริมงคล และรับการประสิทธิ์ประสาทวิทยาคม โดยผู้ทำพิธีต้องทำตนให้สะอาด เป็นฆราวาสให้นุ่งขาวห่มขาว ทำจิตใจให้ผ่องใส และรับสมาทานเบญจศีลเสียก่อน เป็นพระภิกษุให้ทำสมาธิจนจิตนิ่งสงบ ผ่องใส แล้วตั้งเครื่องสักการะ
บูชาครูอาจารย์ อันประกอบไปด้วย
ดอกไม้ 9 สี ธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม บายศรีปากชาม ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว มะพร้าวอ่อน กล้วยน้ำไทย (กล้วยน้ำว้า) ผลไม้ 9 สิ่ง หัวหมู เป็ด ไก่ ปลาช่อนนิ่งทั้งตัวไม่ขอดเกล็ด ถั่วคั่ว งาคั่ว ข้าวตอก นม เนย ขันล้างหน้า ผ้าขาว ผ้าแดง เงินค่าบำรุงครู 6 บาท
จากนั้นให้บูชาพระรัตนตรัย แล้วร่ายโองการ (บทสวดบูชาคุณพระรัตนตรัย ต่อด้วยบทอัญเชิญทวยเทพ บทอัญเชิญครู โองการสรรเสริญครู โองการชุมนุมครู) เมื่อเสร็จพิธีคำนับครู ก็เริ่มเข้าสู่การเรียกสูตรต่างๆ
2.) การเรียกสูตร คือ การฝึกหัดเขียน อักขระ เลข ยันต์ นานาประเภท อันประกอบด้วย การบริกรรมสูตรพระคาถาต่างๆ ตามจังหวะของการเขียนอักระเลขยันต์นั้นๆด้วย “ดินสอผงวิเศษ”
“ดินสอผงวิเศษ” สร้างจากส่วนผสมของเครื่องเคราต่างๆอันประกอบด้วย
-ดินโป่ง 7 โป่ง (ดินที่มีเกลือสินเธาว์ผุดเกรอะกรัง มีพบอยู่ตามป่าทั่วไป ในที่นี้ให้นำดินโป่ง 7 แห่ง)
-ดินตีนท่า 7 ตีนท่า (ดินจากท่าน้ำ 7 แห่ง)
-ดินหลักเมือง 7 หลักเมือง (ดินจากหลักเมือง 7 เมือง)
-ขี้เถ้าไส้เทียนบูชาพระประธานในพระอุโบสถ
-ดอกกาหลง
-ยอดสวาท
-ยอดรักซ้อน
-ขี้ไคลเสมา (คราบไคลดินบนแผ่นเสมาที่แสดงขอบเขตของโบสถ์)
-ขี้ไคลประตูวัง
-ขี้ไคลเสาตะลุงช้างเผือก (คราบไคลดินจากเสาหลักคู่ สำหรับล่ามช้างเผือก)
-ราชพฤกษ์ (ไม้ต้นราชพฤกษ์ตากแห้งป่นเป็นผง)
-ชัยพฤกษ์
-พลูร่วมใจ (ต้นพลูที่ใช้กินกับหมาก ขึ้นเป็นดง เป็นกอ บางครั้งจึงเรียกว่า “พลูร่วมใจ” เพราะจะขึ้นพร้อมๆกัน ไม่ใช้ที่ขึ้นแยกต้น แยกกอ)
-พลูสองหาง (ในบรรดาใบพลู จะมีบางต้นที่น้อยมาก ปรากฏปลายใบแยกเป็น 2 แฉก)
-กระแจะตะนาว (ชื่อต้นไม้ขนาดเล็ก ขึ้นในป่าเบญจพรรณ ต้นและกิ่งมีหนาม เปลือกขรุขระสีเทา ดอกเล็กสีขาวเป็นช่อสั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ท่อนไม้ใช้ฝนกับน้ำเป็นเครื่องประทินผิว)
น้ำมันเจ็ดรส (น้ำมันที่ได้จากของ 7 ประเภท จะเป็นพืชหรือสัตว์ก็ได้ ยิ่งหายากยิ่งดี
-ดินสอพอง
เอาส่วนผสมทั้งหมดมา ผสมกันแล้วบดให้ละเอียด เจือน้ำ ปั้นเป็นแท่งดินสอ
เมื่อได้ดินสอผงวิเศษ ซึ่งต้องเตรียมการไว้แล้ว ก็จะเข้าสู่การทำกรรมวิธีสร้างผงวิเศษ ที่จะต้องกระทำในพระอุโบสถ โดยเตรียมเครื่องสักการะ เช่นเดียวกับการคำนับครู โดยตั้งของต่างๆไว้เบื้องหน้าพระประธาน จุดธูปเทียนบูชาพระ ยกถาดบรรจุสิ่งของเหล่านั้นขึ้น แล้วกล่าวคาถาอัญเชิญครู ประกาศอัญเชิญเทพยดา ทำประสะน้ำมนต์(ชำระล้างตัวให้สะอาดแล้วเอาน้ำมนต์ราดชำระให้ทั่วร่างกาย) พรหมตัว เรียกอักขระเข้าตัว(การเรียก หรือสวดมหาพุทธมนต์ต่างๆให้มาสถิต ประสิทธิ์กับตัวเอง)และอัญเชิญครูเข้าตัว
3) การทำผงวิเศษ เมื่อขั้นตอนต่างๆที่กล่าวมาสำเร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่การทำผงวิเศษ ซึ่งผงทั้ง 5 มีความเป็นมาน่าสนใจ ดังนี้
3.3.1) การทำผงปถมัง นับเป็นผงเริ่มต้น สำหรับการศึกษาวิทยาคม ใช้สำหรับการลง “นะ” ทุกชนิดตามสูตร ปฐมพินธุ (ปัด-ทะ-มัง-พิน-ทุ เป็นบทพระเวทย์ชั้นสูงที่ว่าด้วยการเกิด) ซึ่งมีความเป็นมาแต่ครั้งปฐมกัลป์ที่โลกยังว่างเปล่าปราศจากชีวิต มีแต่น้ำซึ่งกำลังงวดลงไป และแผ่นดินโผล่ขึ้นมา ท้าวสหับดีมหาพรหมได้เล็งญาณ เห็นดอกบัว 5 ดอก ก็ทราบว่าในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าจะเสด็จมาในโลก 5 พระองค์ด้วยกัน จึงโปรยหญ้าคาลงมา พื้นน้ำก็งวดเป็นแผ่นดินส่งกลิ่นหอมหวน พวกพรหมก็ลงมาเสพมวลดินเป็นอาหาร เลยพากันหลงทางกลับสู่พรหมโลกไม่ได้ จึงสืบเผ่าพันธุ์เป็นมนุษย์อยู่ในโลกตราบเท่าทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้ สหับดีมหาพรหมจึงเป็นปฐมแห่งโลกธาตุ
ดังนั้น การลง “นะ” คือ การย้ำพระเทย์วิทยาคุณให้ประจุ(บรรจุ) กำกับอยู่ในสิ่งที่ต้องการนับเป็นการเบิกพระสูตรที่เปิดทางบรรจุพระคาถาอื่นๆได้อย่างอัจฉริยะ
การทำผงปถม(ผง-ปัด-ทะ-มัง) คือ การนำเอาผงเครื่องยาที่ผ่านกรรมวิธีที่กล่าวมาข้างต้นมาปั้นเป็นดินสอขึ้น แล้วเขียนเรียกสูตร น ปฐม พินธุ และสูตรการลบ เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน จนหมดสิ้นดินสอที่ปั้นขึ้น ก็จะได้ผงปฐม ซึ่งใช้เวลาในการทำผงนี้ ประมาณ 2-3เดือน
3.3.2) การทำผงอิธะเจ เกิดจากการนำเอา ผงปฐม ที่ทำสำเร็จแล้ว มาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเขียนอักขระด้วย สูตรมูลกัจจายน์ และลบด้วยสูตรลบผงอิทธะเจ คัมภีร์โบราณ กล่าวว่า ท่านพระมหากัจจายน์พระคณาจารย์เจ้ายุคก่อนเป็นผู้วางแบบแผนการสร้างสูตรอันนี้ไว้ ชนชั้นหลังต่อมาจึงได้เอานามของท่านมาเรียกชื่อสูตรว่า ”สูตรมูลกัจจายน์” หรือ มูลกระจาย อันถือเป็นรากฐานแห่งความรู้ในอักขระ พยัญชนะ และสระในอักษรขอม การทำผงอิทธิเจนั้น จะต้องร่ายอักขระ และแปลงพยัญชนะและสระ ให้สำเร็จรูปเป็น “อิธเจตโส ทฬห คณหาหิ ถามสา” ซึ่งเรียกว่า “ลบขาดตัว” ผงที่ได้จากการลบขาดตัวนี้เรียกว่า “ผงอิธะเจ” ใช้เวลาทำประมาณ 3 วัน และต้องเขียนให้หมดสิ้นดินสอที่เตรียมไว้
3.3.3) การทำผงมหาราช ใช้ผงอิธะเจ มาปั้นเป็นดินสอขึ้นอีก แล้วเรียกสูตรมหาราช แล้วลบสูตรที่เขียนด้วยนามทั้ง 5 เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน จนหมดสิ้นดินสอที่ทำขึ้น ใช้เวลาทำใกล้เคียงกับการทำผงปถมัง เกิดเป็นผงใหม่ ชื่อ “ผงมหาราช”
3.3.4) การทำผงพุทธคุณ ใช้ผงมหาราชมาปั้นทำเป็นดินสอ เรียกสูตร และลบอักขระเกี่ยวกับพุทธคุณนานาประการ นับตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ จวบจนเสด็จสู่พระปรินิพพาน เขียนแล้วลบ ลบแล้วเขียน จนหมดสิ้นดินสอ จะได้ผงพุทธคุณ ซึ่งถือว่าเป็นผงวิเศษที่มีพุทธานุภาพสูงยิ่ง เพราะเกี่ยวเนื่องด้วยพระพุทธองค์
3.3.5) การทำผงตรีนิสิงเห ซึ่งนับเป็นผงสุดท้ายเกี่ยวกับสูตรเลขไทยโบราณ เกิดจากการรวบรวมเอาผงพุทธคุณที่ลบได้มาปั้นเป็นดินสอ เรียกสูตรอัตอาวาทวาทศมงคล 12 เขียนสูตรไล่เรียงไปจนสำเร็จเป็นอัตตราตรีนิสิงเห เข้าสู่รูปอัตตรายันต์ 12 ยันต์ จนสุดท้ายได้รูปยันต์นารายณ์ถอดรูป ซึ่งประกอบด้วย ยันต์ประจำขององค์ตรีนิสิงเห แล้วมี ยันต์พระภควัมบดี และยันต์ตราพระสีห์ประทับลงเป็นประการสุดท้าย
อาจารย์เทพย์ สาริกบุตร ผู้ทรงคุณวุฒิทางพุทธาคม ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ในเรื่องการทำผงนี้ มีตำรับที่จะทำมากมายนัก นอกจากตำรับทั้ง 4 ที่ยกมาอ้างนี้ คือ ปถมัง อิธเจ มหาราช ตรีนิสิงเห เพราะตำรับทั้งสี่นี้เป็นแม่บทใหญ่ ส่วนที่แตกแยกฝอยออกไปอีกนั้น ยังมีอีกมากเช่น ผงพุทธคุณ เป็นต้น โดยเฉพาะผงพระพุทธคุณนั้น มีวิธีทำหลายวิธีด้วยกัน ผงเหล่านี้มีคุณภาพดุจกันทั้งสิ้น อาศัยแรงความปรารถนาอธิษฐานของผู้กระทำ จะมุ่งให้มีอานุภาพไปทางไหน พระเครื่อง เครื่องรางที่ทำด้วยเกสร หรือ ผงที่ได้สร้างแต่ครั้งโบราณล้วนแต่สร้างขึ้นมาจากผงเหล่านี้ทั้งสิ้น”
เมื่อได้ผงวิเศษ จึงนำมาคลุกเคล้ากับทัพสัมภาระอันพิจารณาแล้วว่าเป็นของดี มีมงคลอันประเสริญ ที่ผ่านการบดละเอียดแล้ว จึงผสมผงปูน เปลือกหอยที่บดแล้ว ประสานมวลสารทั้งหมดด้วย กล้วยน้ำ (กล้วยน้ำว้า) และน้ำมันตังอิ๊ว ได้มวลสารรวมมีลักษณะเป็นแป้งเหนียวปั้นได้
4. แกะแม่พิมพ์ การแกะแม่พิมพ์พระนั้น มีหลายฝีมือ ทั้งช่างราษฎรชาวบ้านสามัญ ไปถึงช่างหลวงในราชสำนัก ซึ่งดูได้จากความงดงามลงตัวของพระพุทธปฏิมาที่ปรากฏความหยางบ ละเอียด สมดุล และงดงาม ออกมาในรูปทรงขององค์พระเครื่องนั้นๆ
เมื่อได้แม่พิมพ์เป็นที่พอใจ จึงนำส่วนผสมข้างต้นมากดลงในแม่พิมพ์ก่อนที่จะใส่มวลสารลงไป เพื่อป้องกันไม่ให้เนื้อพระติดกับแม่พิมพ์ ก็จะนำผงปูนมาโรยลงในพิมพ์ก่อนที่จะหยอดเนื้อมวลสารลงไป เมื่อกดพิมพ์ได้ที่แล้วก็จะทำการตัดตอกเนื้อส่วนเกินที่ปลิ้นล้นจากแม่พิมพ์ แล้วจึงเคาะองค์พระออกจากแม่พิมพ์ การโรยผงปูนไว้ก่อน ทำให้พระไม่ติดพิมพ์ ธรรมชาติของแป้งโรยพิมพ์นับเป็นคุณสมบัติพิเศษอีกประการหนึ่งในการช่วยพิจารณาพระแท้ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป
ในครั้งแรก พระที่นำออกจากแม่พิมพ์ใหม่ๆ จะมีความชื้น และสดของผิวมวลสาร จำเป็นต้องนำไปตากแดด หรือผึ่ง ให้แห้ง ถ้าเป็นสมัยใหม่ ก็จะนำไปอบให้แห้ง ก็ถือว่าเสร็จกระบวนการผลิตพระเนื้อผง หากแต่คนในสมัยโบราณยังถือว่าเป็นพระที่ยังไม่ครบ ต้องทำการบวชเสียก่อน
5. การปลุกเสกพระ เมื่อผลิตพระผงเสร็จสิ้น องค์ประกอบที่สำคัญประการสุดท้าย คือ พระที่สร้างต้องผ่านการปลุกเสก อันเสมือนการเชิญพลังพระรัตนตรัยมาประจุ (บรรจุหรือรวมตัว) ประสิทธิ์ ประสาท ยังพระเครื่องที่สร้าง การปลุกเสกนั้น แบ่งเป็น
5.1) การปลุกเสกหมู่ หมายถึง การนิมนต์พระจำนวนมากกว่า 1 รูป มาร่วมกันบริกรรมพระคาถา เจริญภาวนา อธิษฐานจิตปลุกเสกร่วมกัน กระทำเต็มรูปแบบศาสนพิธีการ
5.2) การปลุกเสกเดี่ยว หมายถึง พระเครื่องที่ผ่านการบริกรรมพระคาถา เจริญภาวนา อธิษฐานจิตเพียงองค์เดียว เป็นศาสนพิธีกรรม
5.3) การอธิษฐานจิต หมายถึง พระเครื่องที่ไม่ได้ผ่านพิธีกรรมอันเป็นศาสนพิธีเหมือนกับ 2 ประเภทแรก หากแต่เป็นการใช้พลังอำนาจจิตประจุพระพุทธานุภาพ สำหรับพระภิกษุผู้มีฌาณปฏิบัติที่แก่กล้า และสำเร็จมรรคผลพระธรรมขั้นสูง ท่านสามารถอธิษฐานจิตได้ และมีพลานุภาพทำให้พระเครื่องที่ผ่านการอธิษฐานจิตเปี่ยมด้วยพระพุทธคุณได้เช่นกัน
พระเนื้อผงที่ผ่านขั้นตอนพิธีการต่างๆที่กล่าวมา จึงถือว่าเป็นพระเครื่องที่สมบูรณ์การสร้างพระผงยังคงมีให้พบเห็น และศึกษากันอยู่ในปัจจุบัน แต่จะเคร่งครัดประการใดอย่างไร ก็ขอให้ผู้ศึกษาโปรดใช้วิจารณญาณในการพิจารณา

4. การสร้างพระเนื้อโลหะ ประเภทพระหล่อ พระปั๊ม พระฉีด
การสร้างพระเนื้อโลหะนี้จะประกอบด้วยการสร้าง 3 ประเภท คือ พระหล่อ พระปั๊ม และ พระฉีด โดยก่อนอื่นผู้เขียนขอทำความเข้าใจแก่ผู้สนใจศึกษา ระหว่างพระเครื่องเนื้อชิน และพระเครื่องโลหะประเภทอื่นๆ ก่อนว่าเหตุใดจึงแยกพระทั้งสองประเภทนี้ออกจากหมวดเดียวกัน
พระเครื่องเนื้อชิน ถือเป็นพระเนื้อโลหะประเภทหนึ่ง แต่สาเหตุที่บูรพาจารย์ที่เป็นนักสะสมยุคแรกๆ ไม่นำมารวมอยู่ในพระเนื้อโลหะอื่นๆ เพราะเนื่องจากเหตุผลสำคัญดังนี้
1.) พระเครื่องเนื้อชิน ล้วนเป็นพระกรุ พระเก่า ที่มีอายุการสร้างนานเป็นร้อยๆปีขึ้นไปอันถือเป็นพระเครื่องยุคโบราณปัจจุบันไม่นิยมสร้างพระเครื่องเนื้อนี้อีกแล้ว
2.) ส่วนผสมหลักของพระเครื่องเนื้อชินคือ ดีบุกและตะกั่ว มากน้อยตามแต่ผู้สร้างมีความประสงค์ ซึ่งปัจจุบันผู้สร้างได้ค้นพบโลหะอื่นๆที่มีคุณสมบัติที่ดีกว่า สะดวกกว่า และคงทนกว่า มาใช้ในการสร้างพระเครื่องแทนพระเครื่องเนื้อชิน
3.) ผู้ที่นิยมมีความคิดว่าพระเครื่องประเภทเนื้อชินจะต้องเป็นพระยุคเก่า เท่านั้น จึงได้รับความนิยมในการสะสม หากเป็นพระยุคหลังที่สร้างขึ้นใหม่ จะแลดูขาดธรรมชาติ ไม่เป็นที่สนใจของประชาชน เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นพระเครื่องเนื้อชินต้องแลดูเก่ามีธรรมชาติคราบไข ถ้าดูใหม่จะคาดคะเนให้เป็นพระปลอมก่อนเลยเป็นอันดับแรก
พระเครื่องเนื้อโลหะต่างๆที่ปรากฎอยู่ในวงการพระ ประกอบด้วย
1. พระเนื้อทองคำ
2. พระเนื้อเงิน
3. พระเนื้อทองแดง
4. พระโลหะผสม
สำหรับพระ 3 ประเภทแรกนั้น ผู้สนใจศึกษาคงทราบและเข้าใจอย่างชัดเจนถึงส่วนผสมหลัก หรือส่วนผสมนำ ในพระเครื่องนั้นๆ คือทองคำ เงิน และทองแดง ส่วนพระโลหะผสมนั้น มีมากมายหลายเนื้อมวลสาร ซึ่งบางประเภทมีสูตรจากตำราชี้เฉพาะปริมาณของส่วนผสม และบางประเภทก็ไม่ชี้ชัดเพียงใส่มวลแร่ธาตุเดิมให้ครบตามจำนวนธาตุที่ต้องการผสมเท่านั้น จึบเป็นที่มาของความไม่แน่นอน ในโลหะผสมของแต่ละเบ้า แต่ละครั้งในการหลอมละลาย โลหะผสมที่ได้รับความนิยมในการสร้างพระเครื่องได้แก่
1) นวโลหะ หมายถึง การนำแร่ธาตุต่างๆ 9 ชนิด มาหลอมรวมกัน นวโลหะที่มีตำราชี้เฉพาะปริมาณของส่วนผสมได้แก่ พระในกลุ่ม พระกริ่ง-พระชัยวัฒน์ ที่มีสมเด็จพระสังฆราช(แพ) วัดสุทัศน์ กรุงเทพมหานคร เป็นองค์ปฐมการสร้าง สืบตำราต้นแบบที่บังคับในการสร้างพระกริ่งเนื้อนวโลหะสายวัดสุทัศน์ ประกอบไปด้วย
ชิน น้ำหนัก 1 บาท (1บาท = 15.2 กรัม)
จ้าวน้ำเงิน น้ำหนัก 2 บาท (แร่ชนิดหนึ่ง สีเขียวปนน้ำเงิน)
เหล็กละลายตัว น้ำหนัก 3 บาท
บริสุทธิ์ น้ำหนัก 4 บาท (ทองแดงบริสุทธิ์)
ปรอท น้ำหนัก 5 บาท
สังกะสี น้ำหนัก 6 บาท
ทองแดง น้ำหนัก 7 บาท
เงิน น้ำหนัก 8 บาท
ทองคำ น้ำหนัก 9 บาท
นำโลหะทั้ง 9 นี้ มาหลอมรวมกัน ได้เนื้อนวโลหะที่งดงามยิ่ง
2) สัตตะโลหะ หมายถึง โลหะผสม 7 ชนิด อันประกอบด้วย เหล็ก, ปรอท, ทองแดง, เงิน, ทองคำ, จ้าวน้ำเงิน, บริสุทธิ์ ตามอัตราส่วนของแต่ละตำรา และวัสดุที่ทำขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ เช่น อาวุธที่เป็นเนื้อสัตตะโลหะก็จะมีปริมาณของแร่เหล็กมากกว่าแร่ชนิดอื่นๆ เป็นต้น
3) เบญจโลหะ หมายถึงโลหะผสม 5 ชนิด อันประกอบด้วย เหล็ก, ปรอท, ทองแดง, เงิน, และทองคำ อัตราส่วนตามความเหมาะสมของวัตถุที่สร้าง แต่โลหะหนักส่วนมากก็จะเป็นเหล็ก
4) ทองเหลือง นับเป็นโลหะผสมที่นิยมใช้กันมากในยุคหลังๆซึ่งเนโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี และอาจจะมีธาตุอื่นปะปนอยู่บ้างเล็กน้อย เช่น ตะกั่ว ดีบุก อลูมิเนียม เหล็ก แมงกานีส นิเกิล เป็นต้น
5) บรอนซ์ เป็นชื่อดั้งเดิมของโลหะผสมระหว่างดีบุกกับทองแดง ปัจจุบันหมายถึงโลหะผสมระหว่างทองแดงกับโลหะอื่น โดยยกเว้นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับสังกะสี ซึ่งจะเป็นทองเหลืองไม่ใช่บรอนซ์
6) เมฆพัด เป็นโลหะผสมที่เกิดจากการนำแร่โลหะต่างๆหลายชนิด อาทิเช่น เหล็ก ทองแดง ดีบุก ตะกั่ว เงิน ทองคำ เป็นต้น จะเป็นปริมาณเท่าใด หรือใช้กี่ประเภทขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้สร้าง ระหว่างหุงแร่จะซัดด้วยกำมะถัน จนเกิดเป็นสีดมันวาว ออกเหลือบสีน้ำเงิน
7) เมษสิทธิ์ นับเป็นโลหะผสมที่มีความคล้ายคลึง และเป็นคู่แฝดกับเมฆพัด กรรมวิธีการสร้างก็คล้ายคลึงกัน ถ้าเป็นคนรุ่นเก่าจะเรียกการสร้างโลหะผสม เมฆสิทธิ์ และเมฆพัดว่า “การเล่นแร่แปรธาตุ” นับเป็นโลหะที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว เพราะขณะที่ทำการหลอมรวมจะต้องบริกรรมพระคาถาต่างๆไปด้วย สำหรับโลหะผสมเมฆสิทธิ์ประกอบด้วยแร่ธาตุ 4 ชนิดคือ เงิน สังกะสี ทองแดง และปรอท
8) สัมฤทธิ์ เป็นโลหะผสมที่นิยมทำพระบูชา และรูปหล่อขนาดใหญ่ นับเป็นโลหะผสมยุคแรกๆ ที่มีการสร้างขึ้นมาแต่โบราณ บางคนเรียกว่า ทองสัมฤทธิ์ หรือทองบรอนซ์ ส่วนประกอบของโลหะผสมสัมฤทธิ์คือ ทองแดง ดีบุก เงิน และทองคำ
9) ขันลงหิน เป็นเนื้อโลหะที่รู้จักกันมาแต่โบราณ และเป็นประเภทหนึ่งของโลหะผสมที่เรียกกันว่า “บรอนซ์” แต่โลหะผสมเนื้อขันลงหินจะเจาะจงเฉพาะโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุกเท่านั้น ส่วนบรอนซ์จะรวมถึงโลหะทุกประเภทที่ผสมกับทองแดง ยกเว้นสังกะสี ดังนั้นสีบรอนซ์จึงมีหลายสี เช่น บรอนซ์เงิน บรอนซ์ทอง บรอนซ์ออกสีนาก เป็นต้น
โลหะผสมที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เป็นโลหะผสมที่นิยมนำมาสร้างพระบูชา และพระเครื่อง อาจจะมีนอกเหนือจากนี้บ้างตามความสะดวกและความเชื่อในการสร้าง แต่ไม่เป็นที่รู้จักนิยมแพร่หลายเช่นที่กล่าวมา
นอกจากนี้ก็จะมีพระที่สร้างจากเนื้อโลหะหลักที่มีส่วนผสมอื่นเจือปนอยู่บบ้างแต่เป็นส่วนน้อย เพื่อความสะดวกในการขึ้นรูป ทำให้สวยงาม และคงทนยิ่งขึ้น เช่น ทองคำ เงิน ตะกั่ว เป็นต้น
วิธีการสร้างพระ
เมื่อทราบถึงส่วนผสมของโลหะเจือ (โลหะผสม) ต่างๆ พอสังเขปแล้ว ต่อไปจะเป็นขั้นตอนการสร้างพระหล่อ-พระปั๊ม-และพระฉีด การสร้างพระที่กล่าวมานี้ นับเป็นการสร้างตั้งแต่ยุคกลางๆคือประมาณร้อยกว่าปี แล้ววิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน โดยเราจะแบ่งวิธีการสร้างออกเป็น การหล่อแบบโบราณและการหล่อแบบสมัยใหม่ ซึ่งแต่ละแบบมีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้
การหล่อแบบโบราณ
เป็นวิธีการที่ใช้ในการสร้างรูปหล่อ และเหรียญหล่อโบราณ มากมายในพระเครื่องต่างๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นพระยอดนิยมอันดับต้นๆของประเทศ เช่น รูปหล่อ-เหรียญหล่อ หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตา รุ่นแรก, รูปหล่อหลวงพ่อเดิม เป็นต้น
ขั้นตอนการหล่อแบบโบราณ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆดังนี้
1) การขึ้นดินหุ่น คือการแกะหุ่นดินตามรูปพรรณสัณฐานที่ต้องการ จากนั้นจึงนำมาหล่อเป็นองค์พระต้องการ พระที่ได้ครั้งแรกนี้เรียกว่า “แกนหุ่นดิน”
2) เข้ารูปขี้ผึ้ง เมื่อได้แกนหุ่นที่หล่อเรียบร้อยแล้ว จะนำขี้ผึ้งมาพอกองค์พระ แกะตกแต่งรายละเอียดด้วยเสนียด (ไม้ทองเหลืองปลายแบน) จนเป็นที่พอใจก็จะได้รูปขี้ผึ้งองค์พระที่ต้องการจะให้เป็นในลักษณะอากัปกิริยาต่างๆ ตลอดจนลวดลายตามความประสงค์ของผู้แกะแบบ
3) พอกดินขี้วัว เมื่อได้รูปขี้ผึ้งแล้วก็นำดินขี้วัว (นำขี้วัวมาคั้นน้ำผสมกับดินเหนียวและทรายให้ข้นจับตัวกันเหนี่ยวแน่น) พอกให้ทั่วองค์พระหุ่นขี้ผึ้ง แล้วเจาะรูตรงปลายเพื่อให้ขี้ผึ้งไหลออกมาเมื่อถูกความร้อนสูง
4) เทสารละลาย นำโลหะผสมที่หลอมละลายรวมกันเข้าที่แล้ว เทลงในเบ้าแม่พิมพ์ ความร้อนจะทำให้ขี้ผึ้งละลายออกมาจากรูที่เจาะไว้เรียกว่า “การสำรอกขี้ผึ้ง” โลหะผสมจะเข้าแทนที่ขี้ผึ้งได้รูปองค์พระที่ต้องการ
5) การทุบเบ้าทิ้ง เมื่อกระบวนการต่างๆที่ผ่านมาสำเร็จด้วยดีแล้ว พอโลหะจับกันแข็งตัวและเย็นดีแล้ว ก็จะมีการทุบเบ้าดินที่หุ้มองค์พระไว้ออกให้หมด ดังนั้น จึงมีการเรียกพระหล่อโบราณว่า “พระพิมพ์เบ้าทุบ”
พระหล่อโบราณที่ได้ ส่วนมากจะขาดความละเอียดของเส้นรูปพรรณเค้าหน้า และร่างกายเนื่องด้วยเครื่องมือแบบภูมิปัญญาชาวบ้านโบราณ ขาดศักยภาพกระทำการ อีกทั้งโลหะผสมขาดการชั่งตวงวัด และควบคุม รวมถึงความร้อนที่สม่ำเสมอทั่วถึง ทำให้องค์พระขาดความคมชัด หากแต่ธรรมชาติของดินพอกหุ่นและความไม่พอดีของอัตราส่วนโลหะผสม ก็นับเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของพระหล่อโบราณ ที่ยากแก่การปลอมแปลง ดินขี้เบ้าที่ติดอยู่กับเนื้อโลหะเมื่อได้รับความร้อน เกิดการหลอมรวมกินตัว ผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของวรรณะตามซอกองค์พระ ก็ถือเป็นไม้ตายในการพิจารณาพระเก่า ให้ต่างจากพระใหม่ได้อีกประการหนึ่ง
การหล่อแบบสมัยใหม่
นับเป็นวิวัฒนาการต่อเนื่อง โดยมีเครื่องอำนวยความสะดวก และสามารถสร้างพระได้ปริมาณมากๆในเวลาเดียว ซึ่งหักการของขั้นตอนก็จะคล้ายคลึงกับการหล่อโบราณคือ
1) แกะแม่พิมพ์ด้วยขี้ผึ้ง ใช้ปูนปาสเตอร์พอกหุ่นแทนดินขี้วัว แล้วจึงสำรอกขี้ผึ้งออกต่อจากขั้นตอนนี้ เดิมทีจะต้องกระทำต่อเนื่องกันในขณะที่แม่พิมพ์ยังร้อนอยู่ แต่ในสมัยใหม่จะเป็นการ “เทพิมพ์เย็น” หมายถึงให้พิมพ์ที่ผ่านการหลอมและสำรอกขี้ผึ้งออกแล้วปล่อยให้เย็นตัวก่อน แล้วจึงเทโลหะผสมลงไป ซึ่งวิธีการนี้สามารถสร้างพระได้เป็นช่อทีละหลายองค์ในครั้งเดียว
2) การฉีดพระ นับเป็นเทคนิคใหม่ที่ทำให้พระออกมาสวยมีรายละเอียดคมชัดทุกสัดส่วน ตามความปรารถนา อันเกิดจากการเหวี่ยงโลหะอย่างเร็วและแรงหลายรอบ ให้กินรายละเอียดของแม่พิมพ์ได้ทุกอณู สำหรับขั้นตอนการฉีดพระประกอบด้วย การแกะแม่พิมพ์ด้วยขี้ผึ้ง ถอดพิมพ์ด้วยยางทำฟัน ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีมากในการเก็บรายละเอียดต่างๆได้อย่างครบถ้วน จากนั้นจึงใช้ปูนทำฟันฉีดเข้าพิมพ์ยาง แล้วนำใส่เข้ากระบอกเหวี่ยงเพื่อไล่โลหะให้เข้าไปตามกระบอกโดยผ่านท่อ แรงเหวี่ยงจะอัดมวลสารไปยังทุกส่วนของแม่พิมพ์ จะได้พระที่งดงามตามปรารถนาเป็นช่อๆละหลายองค์
3) การปั๊มพระ นับเป็นกรรมวิธีแบบใหม่ในการสร้างพระที่มีขั้นตอนคล้ายการฉีด หากแต่ในขั้นตอนการแกะแม่พิมพ์ จะมี 2 ด้านประกบกัน เรียกว่า “แม่พิมพ์ตัวผู้ และแม่พิมพ์ตัวเมีย” นอกจากนี้ จะต้องทำตัวตัดขึ้นอีกตัว (ในกรณีทำเหรียญ) ซึ่งจะมีขนาดพอเหมาะกับแม่พิมพ์
การสร้างแม่พิมพ์ในพระปั๊มนี้สามารถ “ถอดพิมพ์ใหม่” เกิดเป็นบล็อคแม่พิมพ์ได้จำนวนมากมายตามความต้องการ ด้วยยางทำฟัน ซึ่งทำให้แม่พิมพ์ที่ถอดขึ้นมา ไม่ผิดเพี้ยนจากแม่พิมพ์ตัวแรกเลย จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากกับการสร้างพระในปัจจุบันที่มีปริมาณการสร้างคราวละมากๆ
ส่วนโลหะผสม ก่อนที่จะมาทำการปั๊มพระ จะเป็นโลหะผสมที่เย็นตัวแล้ว นำเข้าเครื่องปั๊มพระ ออกมาได้เหรียญ หรือรูปหล่อปั๊ม ตามความต้องการ และมีความเหมือนกันทุกองค์

5. การสร้างพระเนื้อว่าน
นับแต่โบราณมาชนชาติไทยมีความรู้ และผูกพันกับพรรณไม้ตระกูลว่าน ด้วยเห็นคุณค่าทั้งในการใช้ทำยา หรือเชื่อกันว่าทำให้อยู่ยงคงกระพัน ทั้งให้ความเป็นสิริมงคล ดังนั้น เมื่อจะมีการสร้างสิ่งมงคลในรูปพระเครื่อง เครื่องว่านเกสรดอกไม้อันมีสรรพคุณ คุณวิเศษต่างๆเฉพาะตัว จึงเป็นหนึ่งในทัพสัมภาระที่ผู้สร้างพระให้ความสำคัญนำมาเป็นส่วนผสมประเภทหนึ่งที่ขาดไม่ได้จึงกล่าวได้ว่า “ว่าน” เป็นส่วนผสมในการสร้างพระเนื้อดินและเนื้อผง มาแต่โบราณ ดังคำแปลจากจารึกในแผ่นลานทองที่พบในกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดสุพรรณบุรี ที่เกี่ยวกับการนำว่านมาผสมสร้างพระดังนี้
“ศุภมัสดุ 1265 สิทธิการิยะ แสดงบอกไว้ให้รู้ มีฤๅษีทั้งสี่ตน พระฤๅษีพิมพิลาไลย์ เป็นประธาน เราจะทำด้วยฤทธี ทำด้วยเครื่องประดิษฐ์มีวุวรรณ เป็นต้น คือบรมกษัตริย์พระยาศรีธรรมโศกราชเป็นผู้ศรัทธาพระฤๅษีทั้งสี่ตน จึงพร้อมกันนำเอาแต่ว่านทั้งหลาย ฤๅษีจึงอัญเชิญเทพยดามาช่วยกันทำพิธี ทำเป็นพระพิมพ์ไว้...”
จากการพิจารณาพระเครื่องจะพบชิ้นส่วนของ “ว่าน” ผสมผสานอยู่ในเนื้อมวลสารของพระหลักๆมากมาย นับจากพระรอดมหาวัน พระกรุทุ่งเศรษฐี พระผงสุพรรณ พระนางพญา พระสมเด็จวัดระฆัง เป็นต้น หากแต่การนำว่านมาผสมนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งในบรรดาทัพสัมภาระอื่นๆ และ ว่าน ก็มิใช่ส่วนผสมหลัก แม้จะขาดไม่ได้จึงไม่อาจเรียกพระที่มีว่านเป็นส่วนผสมอยู่บ้าง เป็น “พระเนื้อว่าน”
แต่มีพระบางประเภทที่มีการนำว่านวิเศษ มาเป็นส่วนผสมสำคัญ จนเป็นหัวใจของเนื้อหามวลสาร ทั้งเห็นชัดเจน ไม่แทรกซึมปะปนกับมวลสารอื่น เช่น พระเนื้อว่านหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ จังหวัดปัตตานี ที่มีการนำดินกากยายักษ์มาบดเป็นส่วนผสมสำคัญ เป็นเนื้อนำประกอบอยู่ในองค์พระ นอกจากนี้ยังพบในพระเครื่องของหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นพระเนื้อผงผสมว่าน ที่เรียกกันว่า “พระเนื้อผงวาสนาจินดามณี”
กรรมวิธีการสร้างพระเนื้อว่านในสมัยโบราณ
เริ่มจากการนำว่านวิเศษต่างๆมาบดให้ละเอียด โดยจะใช้ครกหินตำให้ละเอียด หากเป็นการสร้างพระหลวงปูทวดเนื้อว่าน ปี พ.ศ.2497 ได้ระบุการสร้างพระไว้ดังนี้
“พิธีกดพิมพ์พระเนื้อว่านมีขึ้น ณ วัดช้างให้ โดยมีชาวบ้านและพระภิกษุช่วยกันตำว่านด้วยมือโดยใช้ครกตำ ขณะตำว่านจะต้องท่องคาถาที่พระอาจารย์ทิมระบุไว้ด้วย (ซึ่งในแต่ละวันพระอาจารย์ทิมจะให้ท่องพระคาถาไม่เหมอืนกัน) สำหรับแม่พิมพ์หลวงพ่อทวดที่ได้จัดทำขึ้นจากยางครั่งสีดำนั้น จากข้อมูลหลักฐานต่างๆ กล่าวกันว่าน่าจะมีเบ้าพิมพ์มากกว่า 16 เบ้าพิมพ์ แต่ก็ไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน เหตุที่พระอาจารย์ทิมให้ช่างจัดทำแม่พิมพ์ขึ้นอีกจำนวนหนึ่งนั้นเพราะต้องการที่จะพิมพ์จำนวนพระให้ได้ 84,000 องค์ แต่ไม่สามารถกดพิมพ์พระได้จำนวนที่ตั้งใจไว้ โดยได้เพียงประมาณ 64,000 องค์ เนื่องจากระยะเวลามีจำกัด พิธีปลุกเสกในครั้งนั้นมีขึ้นเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2497 ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 เวลา 12.00 น. เมื่อทำพิธีปลุกเสกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ใส่ไว้ในบาตรพระให้ประชาชนเช่าบูชาโดยไม่กำหนดจำนวนเงิน สุดแล้วแต่ความศรัทธาของประชาชน
สำหรับส่วนผสมของพระเนื้อว่าน มีส่วนผสมต่างๆ เช่น
1. ว่าน 108 ชนิด 2. ปูนขาว 3. กล้วยป่า 4. ผงขี้ธูป 5. คราบไคลสถูปเก่าที่บรรจุอัฐิหลวงพ่อทวด 6. แร่ 7. ดินกากยายักษ์ 8. ดอกไม้แห้ง 9. น้ำพระพุทธมนต์ ฯลฯ
การโขลกตำส่วนผสมของเนื้อพระใช้ครกหินหลายใบ โดยตำเนื้อว่านกับดินดำก่อน เมื่อละเอียดแล้วจึงใส่ปูนขาวลงไปเล็กน้อยกับกล้วยป่าทั้งเนื้อทั้งเม็ดตำให้เหนียว แล้วจึงใส่ผงธูป ดอกไม้แห้ง แร่และอย่างอื่นผสมลงไป ระยะแรกๆ จะตำเนื้อละเอียด ต่อมาได้เร่งตำเพื่อให้ทันฤกษ์พิธี ปลุกเสกจึงตำออกมาเนื้อหยาบ ส่วนผสมและสีของเนื้อพระจะไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน บางองค์มีสีดำจัดเพราะใส่ดินกากยายักษ์มาก บางองค์มีสีเทาค่อนข้างขาวเพราะใส่ปูนขาวลงไปมาก และเนื้อพิเศษขั้นทดลองพิมพ์มีจำนวนน้อยมาก
การพิมพ์พระ บางองค์ร่อนจึงแกะออกจาแม่พิมได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ต้องใช้ไม้เสียบใต้ฐานองค์พระ เพื่องัดองค์พระออกมาจากแม่พิมพ์ แล้วจึงนำผงแร่มาแปะที่ด้านหลังขององค์พระทุกองค์
มวลสารในเนื้อพระ มักพบมีเม็ดแร่สีขาวขุ่น, สีดำ, สีขาวอมเหลือง, สีน้ำตาล, เม็ดทรายสีขาวหรือผงวิเศษปรากฏอยู่ทั่วไป โดยพบมากที่ด้านหลังขององค์พระ”
จากกรรมวิธีการสร้างที่ยกตัวอย่างมา ผู้ที่ศึกษาคงมองออกถึงขั้นตอนต่างๆที่เกิดขึ้น ปัจจุบันการสร้างพระเนื้อว่านยังมีอยู่ หากแต่พบน้อยมาก เนื่องจากความยากลำบากในการเสาะหาว่านมงคลต่างๆ ที่ต้องใช้ในปริมาณมาก เพื่อเป็นมวลสารหลักในการสร้างพระ แต่อย่างไรก็ตาม กรรมวิธีนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งในวิธีการสร้างพระ ซึ่งคงเหลือเด่นชัดในพระไม่กี่ประเภท

6.การสร้างเครื่องราง
เครื่องราง นับเป็นความเชื่อและศรัทธาสากล เนื่องจากทุกอารยธรรมทั่วโลกล้วนมีเครื่องรางเป็นสิ่งมัดใจ ให้กำลังใจ ทั้งโน้มน้าวจิตใจมาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ในรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไป
สำหรับประเทศไทย มีการพบเครื่องรางของขลังมาแต่ยุคสุโขทัย หากแต่มาเฟื่องฟูในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเริ่มดับมอดลงเมื่อคราวกรุงแตก แต่กระนั้นเครื่องรางของขลังก็ยังอยู่ในใจผู้คนมาโดยตลอด มิเคยถูกลบเลือน
พระคณาจารย์โบราณ ผู้มากด้วยพระเวทย์วิทยาคม จะนิยมสร้างเครื่องรางของขลังไว้ให้เฉพาะแก่ผู้ใกล้ชิด ดังนั้นการสร้างเครื่องรางของขลัง จึงเป็นงานสร้างเฉพาะตัว โดยมีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์พิเศษ ในแต่ละองค์คณาจารย์ เหมือนลักษณะของลายมือหรือฝีมืองานช่างเครื่องรางของขลังจึงเป็นวัตถุมงคลที่ไม่ตายตัว แต่มีเอกลักษณ์ คือ ไม่มีพิมพ์ ไม่จำกัดรูปร่าง แต่เค้าโครงแนวทางการสร้างกำเนิดมาจากผู้สร้างผู้ใด ก็จะคงความเป็นตัวตน มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวที่บ่งบอกว่า ฝืมือใคร ใครสร้าง สร้างจากวัสดุที่มีความเกี่ยวเนื่องกับผู้สร้าง
วัสดุทุกชนิด สามารถนำมาเป็นเครื่องรางของขลังได้ ขอเพียงได้ผ่านการอธิษฐานจิต ลงพระคาถาอาคมพระเวทย์จากผู้สร้างที่เข้มขลังจริง
ดังนั้น การศึกษาเรื่องเครื่องรางของขลัง จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก แต่เนื่องจากเครื่องรางของขลัง ถือเป็นวัตถุมงคลประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมศรัทธากันมาก ทั้งมีมูลค่าทางการสะสมสูงในบางพระคณาจารย์ จึงสมควรที่จะกล่าวถึงให้ทราบพอสังเขป

เหรียญ หลวงพ่อเอื้อน อตฺตมโต วัดวังแดงใต้ รุ่น 1 ปี พ.ศ.2530



เหรียญ หลวงพ่อเอื้อน อตฺตมโต วัดวังแดงใต้ รุ่น 1 ปี พ.ศ.2530

เหรียญ หลวงพ่อเอื้อน อตฺตมโต วัดวังแดงใต้ รุ่น 1 ปี พ.ศ.2530
"พระครูอดุลย์วิริยกิจ" หรือ "หลวงพ่อเอื้อน อตฺตมโต" เจ้าอาวาส วัดวังแดงใต้ ต.วังแดง อ.ท่าเรือ จ.พระนคร ศรีอยุธยา เป็นชาว ต.วังแดงโดยกำเนิด ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา บิดาเป็นหมอชาวบ้านโบราณที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรค ด้วยมนต์คาถาปัดเป่าและน้ำมนต์
ภาพของคนเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน ผ่านตามาให้เห็นตั้งแต่เยาว์วัย ทำให้เกิดความเบื่อหน่ายชีวิต ระหว่างที่ยังเป็นหนุ่มบิดายังสอนให้รู้จักนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ทำจิตให้สงบ ภาวนาคำว่าพุทโธ จนติดเป็นนิสัย
เมื่ออายุ 22 ปีได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบึง อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรี อยุธยา ได้มีโอกาสศึกษาวิชาวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแบบอย่างหลวงพ่อตาบ แห่งวัดมะขามเรียง อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี รวมทั้งได้เคยศึกษาการเขียนยันต์ตะกรุดให้กับหลวงพ่อตาบ

เมื่อปี พ.ศ.2514 หลวงพ่อเอื้อนดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดวังแดงใต้ ได้พัฒนาวัดแห่งนี้จนมีความเจริญรุ่งเรือง หลวงพ่อเอื้อน เป็นพระเกจิอาจารย์รุ่นใหม่แห่งลุ่มแม่น้ำป่าสัก ด้วยวิทยาคมอันเข้มขลัง วัตถุมงคลที่ท่านนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสก หรือที่ท่านสร้างเอง เช่น ตะกรุด เหรียญชนิดต่างๆ ผ้ายันต์ ล้วนมีพุทธคุณโดดเด่นในด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรีและเมตตามหานิยม
เหรียญหลวงพ่อเอื้อนรูปใบเสมา เป็นเหรียญรุ่นแรกที่วัดวังแดงใต้จัดสร้างขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2530 ก่อนนำไปให้หลวงพ่อตาบนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกเดี่ยวตลอดพรรษา เป็นเหรียญเนื้อทองแดง มีทั้งชนิดพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่อย่างละ 10,000 เหรียญ

สำหรับเหรียญหลวงพ่อเอื้อนรูปใบเสมา พิมพ์ใหญ่ มีขนาดความสูง 4 เซนติ เมตร กว้าง 2.5 เซนติเมตร ด้านหน้าเหรียญมีรูปหลวงพ่อเอื้อนนั่งขัดสมาธิอยู่บนพรหม ใต้พรหมมีเลข ๑ กำกับแสดงความหมายว่า เป็นรุ่น 1 รอบเหรียญมีลวดลายกระหนกคว่ำล้อมรอบ ด้านบนของเหรียญมีอักษรเขียนว่า "หลวงพ่อเอื้อน" ลักษณะเด่น คือ ไม้โทจะอยู่บริเวณตัว อ. ตัวที่ 2
ด้านหลังเหรียญ รอบเหรียญยกขอบ มีอักษรด้านบนเขียนว่า "วัดวังแดงใต้ ต.วังแดง อ.ท่าเรือ จ.อยุธยา" ตรงกลางเหรียญมียันต์กระทู้ 7 แบบ เขียนว่า "อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา" มีความหมายว่าอยู่ยงคงกระพัน ศาสตราวุธ ด้านใต้ยันต์เขียนว่า "พ.ศ.๒๕๓๐"

เหรียญดังกล่าวจัดสร้างโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแจกให้กับผู้ที่มาร่วมทอดผ้าป่า ทอดกฐิน เพื่อนำปัจจัยมาพัฒนาวัด ปัจจุบันเหรียญหลวงพ่อเอื้อนรูปใบเสมา พิมพ์ใหญ่ กลายเป็นเหรียญหายาก แม้แต่ที่วัดวังแดงใต้ก็ไม่มีเหรียญรุ่นดังกล่าวให้เช่าบูชาแล้ว ทำให้ราคาเช่าบูชาสูงขึ้นจนแตะอยู่ที่ระดับราคาหลักหมื่นบาทขึ้นไป
จนเหรียญรุ่นนี้กลายเป็นที่ปรารถนาของนักสะสมพระเครื่องไปแล้ว
แหล่งที่มา จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด

หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา เพชรบุรี

หลวงพ่อทอง
วัดเขาตะเครา เพชรบุรี
หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา เพชรบุรี

วัดเขาตะเครา ตั้งอยู่ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี เป็นวัดที่เก่าแก่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ ทั้งนี้เพราะมีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง ที่คนทั่วไปเรียกว่า “หลวงพ่อวัดเขาตะเครา หรือหลวงพ่อปู่ทองวัดเขาตะเครา” ดังจะเห็นได้จากนิราศเมืองเพชร ของมหากวีเอกของไทยที่กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า
...ไปครูหนึ่งถึงเขาเคราสวาทมีอาวาสวัดวามหาเถรมะพร้าวรอบขอบที่บริเวณพอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญกับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้ขึ้นไปไหว้พระสัมฤทธิ์พิษฐานเขานับถือลือมาแต่บุราณใครบนบานพระก็รับช่วยดับร้อน...

สุนทรภู่ประพันธ์บทนิราศเมืองเพชรไว้ เมื่อ พ.ศ. 2374 เป็นหลักฐานสำคัญอันหนึ่งที่ใช้ให้เห็นว่า หลวงพ่อวัดเขาตะเครา เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ มีชาวบ้านเคารพนับถือมาช้านานแล้ว สุนทรภู่คงทราบกิตติศัพท์ความศักดิ์ ผ่านมาจึงแวะขึ้นนมัสการ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานจารึกเป็นภาษาจีนติดแผ่นหนึ่งแปลได้ความว่า ช่วยบำบัดทุกข์ประชาชน อีกแผ่นหนึ่งแปลว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อเฮ่งเจี๊ยมชัว เป็นผู้ถวาย อีกแผ่นหนึ่งบอกถึงว่าบ้านที่เกิดของลูกศิษย์คนนั้น อยู่ที่ไคง้วนเลี้ยงไผ่ขงจั้ว เหล่านี้นับว่าเป็นหลักฐานยืนยันอีกประการหนึ่ง ถึงความสำคัญ ของพระพุทธรูปองค์นี้
พระพุทธรูป “หลวงพ่อวัดเขาตะเครา” ที่เห็นปรากฏภายนอก เป็นพระพุทธรูปนั่ง ปางมารวิชัยสูง 29 นิ้ว หน้าตักกว้าง 21 นิ้ว ยังไม่ทราบว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือรูปปั้น เพราะปัจจุบันปิดทองที่องค์พระพุทธรูปหนามากจนทำให้ไม่เห็นองค์เดิม นัยว่าพระพุทธรูปองค์จริงเป็นทองคำหรือทองสัมฤทธิ์จากนิราศสุนทรภู่ คนโบราณเกรงจะสูญหายจึงทำองค์ใหม่หุ้มไว้ชั้นหนึ่ง ดังที่ปรากฏตามประวัติของหลวงพ่อวัดเขาตะเครา ที่เล่ากันสืบมานั้นเป็นนิยายปรัมปราดังนี้
เล่ากันเดิมทีเดียวนั้นมีพระสงฆ์ 2 องค์ สมเณร 1 องค์ เป็นพี่น้องกันซึ่งมีฤทธิ์เดชเวทมนตร์แรงกล้ามากทั้งสามองค์ ได้ทดลองวิชากันองค์ที่ทำน้ำมนต์ไว้ สั่งองค์ที่สองว่าถ้าโดดลงไปในน้ำแล้ว กลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมา ให้ใช้น้ำมนต์รดลงไปจึงจะกลับเป็นสงฆ์ตามเดิม เมื่อองค์พี่กระโดดลงไปในน้ำและกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาจริง ๆ แล้วองค์ที่ 2 ไม่รดน้ำมนต์ และว่าเมื่อพี่ทำได้ตนก็ทำได้ องค์ที่ 2 จึงสั่ง องค์ที่ 3 ที่เป็นเณรว่าถ้ากระโดลงไป และกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาแล้วให้ใช้น้ำมนต์รด แล้วองค์ที่ 2 กระโดลงไปกลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมาอีก องค์ที่ 3 ที่เป็นเณรเห็นดังนั้นก็ว่าพี่ ๆ ทำได้ตนก็ทำได้ จึงกระโดดน้ำลงไปบ้างก็กลายเป็นพระพุทธรูปลอยขึ้นมา เมื่อไม่มีองค์ใดเอาน้ำมนต์รดเช่นนี้จึงกลายเป็นพระพุทธรูปลอยน้ำอยู่เช่นนั้น
ต่อมาได้แสดงอภินิหาร โดยลอยน้ำขึ้นล่องอยู่ที่ ร.พัน 2 ทหารช่างอยุธยาเกาะลอยขึ้นที่คุ้งน้ำ ซึ่งภายหลังเรียกว่า “คุ้ง 3 พระทาน”(ซึ่งปัจจุบันเพี้ยนไปเรียกเป็นสัมปะทวน) แล้วต่อมาอยู่ที่ที่หัววน (คือเอาเศียรวน) ต่อมาลอยอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โสธร มีผู้รู้เอาสายสิญจน์ไปผูกปลูกศาลเพียงตา อาราธนาอัญเชิญองค์กลางขึ้น เหลือ 2 องค์ ลอยมาโผล่ที่สามเสนปัจจุบัน ชาวสามเสนได้เอาเชือกสามเส้นผูกพระพุทธรูป แล้วฉุดด้วยกำลังคนเป็นจำนวนมากก็ไม่ขึ้น จนกระทั่งเชือกสามเส้นนั้นขาด พระพุทธรูป 2 องค์นั้นก็จมน้ำหายไปที่นั้น จึงเรียกว่าสามเส้น และต่อมาเพี้ยนเป็นสามเสน
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2302 สมัยกรุงศรีอยุธยาก่อนเสียกรุงต่อพม่า ชาวบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี อพยพหนีพม่าไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากคลองแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม ใกล้กับวัดบ้านแปลม หรือวัดเพชรสมุทร เดิมชื่อวัดศรีจำปา ปัจจุบันเรียก วัดบ้านแหลม หรือวัดเพชรสมุทรปัจจุบัน วัดศรีจำปานี้เป็นวัดร้างเพราะทรุดโทรม ชาวบ้านแหลมที่อพยพไปยู่ได้ช่วยกันบูรณะก่อสร้างใหม่ แล้วให้ชื่อว่าวัดบ้านแหลม เป็นหนึ่งชาวบ้านเหล่านี้ซึ่งมีอาชีพทางประมงออกไปเที่ยวหาปลาลากอวนไปพบพระพุทธรูป 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่งองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืน จึงนำพระพุทธรูปองค์ยืนไปประดิษฐานไว้ ณ วัดบ้านแหลม (วัดศรีจำปา) ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกว่า “หลวงพ่อบ้านแหลม” ตามนามที่ได้พระพุทธรูปมาอีกองค์หนึ่งคือพระพุทธรูปนั่ง ได้มอบให้กับชาวบางตะบูน ซึ่งคงจะเป็นพรรคพวกหรือญาติพี่น้อง ชาวบางตะบูนจึงนำมาประดิษฐานไว้ ณ วัดเขาตะเครา และเรียกกันว่า “หลวงพ่อวัดเขาตะเครา” จนปัจจุบันถ้าจะนับแต่ปีที่นำมาถึง ปี 2520 นี้ วัดเขาตะเครา จะมีอายุ 213 ปี
เขาตะเครานี้สันนิษฐานเอาว่ามีเจ้าสัวชาวจีนผู้หนึ่งมีศรัทธามาก เมื่อได้พระพุทธรูปขึ้นมาประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญแล้ว จึงสละทรัพย์สร้างเป็นวัดขึ้น โดยให้ลูกน้องคนหนึ่งไม่ปรากฏชื่อ คอบควบคุม ซึ่งเป็นชาวจีนเหมือนกัน จีนผู้ควบคุมนี้เอาไว้หนวดเครายาว เพราะเป็นที่นิยมของชาวจีนสมัยโน้น ชาวบ้านเห็นจีนไว้เครายาวดังนี้ จึงเรียกวัดและเขาผนวกกันเข้าไปว่า “วัดเขาจีนเครา” ต่อมาคำว่าจีนเป็นคำที่เรียกยากและไม่คุ้นหูของชาวบ้านในสมัยต่อมาจึงเปลี่ยน “จีน” เป็น “ตา” เพราะง่ายดี และเป็นชื่อที่เหมาะสมของคนที่มีอายุ เรียกว่าภาษาพาไป เมื่อกาลนานมาภาษาจะกร่อนเข้า “สระอา” เป็น “สระอะ” ไปจึงเปลี่ยน “ตา” เป็น “ตะ” เมื่อสรุปแล้วได้ความตามนามปัจจุบันว่า “วัดเขาตะเครา”


พระกริ่งสุดยอดยิ่งของเมืองไทย คือ






" พระกริ่งปรวเรศ"กับ "พระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราชธรรม"

" พระกริ่งปรวเรศ"
พระกริ่งปรวเรศเป็นพระกริ่งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปวเรศวชิยาลงกรณ์ สมเด็จพระสังฆราชสร้างขึ้นถวายรัชกาลที่ 4 และประทานเจ้านาย
สำหรับรายละเอียดในการสร้างพระพุทธลักษณะของพระกริ่งปวรเรศ มีดังนี้
1. จำนวนที่สร้างไม่เกิน 30 องค์
2. สมุห์บัญชีในกรมของพระองค์ ขอประทานพระอนุญาตทำแบบเจิมให้พระกริ่งปวรเรศไปสร้างอีก แต่ไม่ทราบว่าเท่าใด ผู้เขียนเข้าใจคงไม่มากเช่นเดียวกัน เพราะสร้างสมัยนั้นคุณค่าของพระไม่ได้ตีราคาเป็นเงินอย่างในสมัยนี้
3. เป็นพระเครื่องที่สร้างเลียนแบบพระกริ่งเขมร หรือที่เรียกว่า พระกริ่งปทุมสุริยวงศ์ หรือเรียกว่ากริ่งใหญ่
4. มี 2 สี คือ สีดำกับสีเหลือง
5. ที่ก้นอุดด้วยแผ่นทองแดงก็มีเหลืองก็มี
6. พระพักตร์ และรูปร่างแตกต่างกันไปบ้าง เพราะเป็นพระที่ช่างทองหลายคนแต่ง
7. มีเครื่องหมายลับมีรอยตอกรูปเมล็ดงา อยู่ที่ข้างกลีบบัวด้านหลัง ทั้งทางด้านซ้ายและขวาของกลีบบัว

ส่วนพระกริ่งของสมเด็จพระสังฆราชธรรม

มีรายละเอียดในการสร้างและพุทธลักษณะ ดังนี้
1. พระกริ่งสมเด็จพระสังฆราชธรรม วัดสุทัศน์ฯ ทรงสร้างตั้งแต่ พ.ศ.2441 เมื่อครั้งทรงสมณศักดิ์ทรงสร้างเป็นพระเทพโมลี จนถึง พ.ศ. 2479
2. ทรงสร้างไว้ประมาณ 1500 องค์
3. เนื้อโลหะที่ผสมสร้าง 9 ชนิด มีส่วนผสมสร้างดังนี้ ชนิดหน้า 1 บาท จ้าวน้ำเงินหนัก 2 บาท เหล็กละลายตัวหน้า 3 บาท บริสุทธิ์หนัก 4 บาท ปรอดหนัก 5 บาท สังกะสีหนัก 6 บาท ทองแดงหนัก 7 บาท เงินหนัก 8 บาท ทองคำหนัก 9 บาท นอกจากนั้น สมเด็จพระสังฆราชธรรม ยังใช้เงินกลมพดด้วงตรายันต์ มีรัศมีเปลวเพลิงและตรายันต์ชฎา ซึ่งเป็นเงินตราสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 20 สมัยกรุงศรีอยุธยากับเงินตราราชวัตร์ ในสมัยพระเจ้าเอกทัศ พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 32 สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาผสมลงไปด้วย
4. พระกริ่งรุ่นแรกรุ่นแรกพระสังฆราชธรรม ทรงถือแบบพระกริ่งปวรเรศเป็นหลัก แต่พระกริ่งรุ่นหลังๆ ทรงถือแบบพระกริ่งหนองและพิมพ์ใหญ่เป็นหลักในการหล่อ
5. เมื่อสมเด็จพระสังฆราชธรรม ทรงชราภาพมากขึ้น พระองค์ได้มอบให้พระมงคลราชมุนี (สนธิ) เมื่อตอนเป็นเปรียญเป็นผู้สร้าง และพระมงคลราชมุนีก็ได้สร้างพระกริ่งมาทุกปีจนมรณภาพเมื่อ พ.ศ. 2495ปัจจุบันทั้งพระกริ่งปวรเรศและพระกริ่งสมเด็จพระสังฆราชธรรมหายากเสียแล้ว ถ้าท่านผู้ใดมีอยู่ก็สมควรจะหวงแหนเอาไว้อย่างสุดบูชา เพราะเป็นยอดพระกริ่งดังกล่าว
•••••••••••••••••••••••••

หลวงพ่อโต วัดบางพลีใหญ่ใน สมุทรปราการ


วัดบางพลีใหญ่ใน หรือ "วัดหลวงพ่อโต" เหตุทีเรียกดังนี้ ก็เพราะว่ามีพระพุทธรูปปางมารวิชัย (สะดุ้งมาร) ใหญ่โตมาก เนื้อเป็นทองสัมฤทธิ์ทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 3 ศอก 3 คืบ ลืมพระเนตร เป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัย ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถของวัดบางพลีใหญ่ใน

ตามตำนานประวัติของหลวงพ่อโต ที่ทางวัดเล่าสืบต่อกันมาว่าประมาณกาล 200 กว่าปีล่วงมาแล้ว ได้มีพระพุทธรูป 3 องค์ ปาฏิหาริย์ลงมาทางเหนือ ลอยตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาตลอดมา พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์นี้ เข้าใจว่าปวงชนในกรุงศรีอยุธยาคงอาราธนาท่านลงสู่แม่น้ำเพื่อหลบหนีข้าศึก ด้วยในสมัยนั้นบ้านเมืองได้เกิดสภาวะสงครามขึ้นกับพม่า พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ได้แสดงอภินิหารลอยล่องมาตามลำแม่น้ำ และบางครั้งก็แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ผุดให้คนเห็นตามลำดับ จนเป็นที่โจษจันกัน ทั่วถึงอภินิหารและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านจนล่วงมาถึงตำบลตำบลหนึ่ง ท่านก็ได้ผุดให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์ พวกเหล่าประชาชนในตำบลนั่นต่างก็พร้อมใจกันทำพิธีอาราธนาท่านขึ้นสู่ฝั่งฝูงชนประมาณ 3 แสนคน ช่วยกันฉุดลากชะลอองค์ท่าน ก็ไม่สามารถนำท่านขึ้นสู่ฝั่งได้ และท่านก็กลับจมหายไปในแม่น้ำอีก ต่อมาตำบลนั้นจึงถูกเรียกชื่อว่า "ตำบลสามแสน" แต่ต่อมาก็ถูกเรียกกลับกลายเป็น "ตำบลสามเสน" มาจนกระทั่งบัดนี้
พระพุทธรูปได้ล่องลอยทวนน้ำมาทั้ง 3 องค์ โดยลำดับ ครั้งหนึ่งปรากฏว่าได้ล่องลอยไปจนถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา แสดงอภินิหารปรากฏให้ผู้คนเห็นอีก ประชาชนต่างก็ได้ช่วยกันอาราธนาและฉุดชะลอท่านขึ้นจากลำน้ำ แก่ก็ไม่สำเร็จอีก

พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ได้ลอยทวนน้ำ และจมหายไป ณ ที่แห่งนั้น จึงได้ชื่อว่าสามพระทวน แต่ต่อมาก็ได้เปลี่ยนเรียกกันอีกเป็น สัมปทวน คือแม่น้ำหน้าวัดสัมปทวน อำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปัจจุบัน พระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ท่านล่องลอยผ่าน ณ ที่ใด ที่นั่นก็จะมีชื่อเรียกกันใหม่ทุกครั้ง ดังเช่น ท่านได้แสดงอภินิหารล่องลอยให้ผู้คนเห็นเป็นอัศจรรย์เรื่อยมาในแม่น้ำบางปะกง ผู้คนมากมายพยายามที่จะอาราธนาท่านขึ้น แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ณ สถานที่นั้นจึงได้มีเรียกชื่อกันว่า "บางพระ" ซึ่งเรียกว่า คลองบางพระในปัจจุบัน ครั้นต่อมาภายหลังปรากฏว่าพระพุทธรูปองค์หนึ่งไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่ วัดบ้านแหลม จังหวัดสมุทรปราการ และต่อมาในเวลาไล่เลี่ยกัน พระพุทธรูปอีกองค์หนึ่งก็ไปขึ้นประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธร จังหวัดฉะเชิงเทรา

และอีกองค์หนึ่งได้ล่องลอยเรื่อยมาตามลำแม่น้ำเจ้าพระยาปาฏิหาริย์ลอยวกเข้ามาในลำคลองสำโรง ประชาชนพบเห็นต่างโจษจันกันไปทั่วถึงความศักดิ์สิทธิ์และอภินิหาร พร้อมกับพากันอาราธนาท่านขึ้นที่ปากคลองสำโรงนั้น แต่ท่านก็ไม่ยอมขึ้น และในที่นั้นได้มีผู้มีปัญญาคนดีคนหนึ่งได้ให้ความเห็นว่าคงเป็นเพราะบุญญาอภินิหารของท่าน แม้จะใช้จำนวนผู้คนสักเท่าไรอาราธนาฉุดท่านขึ้นบนฝั่งคงไม่สำเร็จเป็นแน่ ควรจะเสี่ยงทายต่อแพผูกชะลอกับองค์พระ แล้วใช้เรือพายฉุดท่านให้ลอยมาตามลำน้ำสำโรงและอธิษฐานว่า
"หากท่านประสงค์จะขึ้นโปรดที่ใด ก็ขอจงได้แสดงอภินิหารให้แพที่ลอยมาจงหยุด ณ ที่นั้นเถิด"
เมื่อประชาชนทั้งหลายได้เห็นพ้องดีกันดังนั้นก็พร้อมใจกันทำแพผูกชะลอกับองค์ท่าน แล้วใช้เรือซึ่งสมัยนั้นเป็นเรือพายทั้งสิ้นช่วยกันจ้ำพายจูงและลอยเรื่อยมาตามลำคลอง เรือที่ใช้ลากจูงแพมานั้นมีชื่อแปลกต่าง ๆ กัน เช่น ชื่อม้าน้ำ เป็ดน้ำ ตุ๊กแก และอื่น ๆ เป็นต้น ละจัดให้มีการละเล่นต่าง ๆ มีละครเจ้ากรับรำถวายมาตลอดทาง และการละเล่นอื่น ๆ ครึกครื้นมาตลอดทั้งลำน้ำ ครั้นแพลอยมาถึงบริเวณหน้าวัดพลับพลาชัยชนะสงคราม หรือวัดบางพลีใหญ่ใน ในปัจจุบันนี้ แพที่ผูกชะลอองค์ท่านก็เกิดหยุดนิ่ง พยายามจ้ำและพายกันอย่างเต็มที่เต็มกำลัง แพนั้นก็หาไม่ขยับเขยื้อนไม่ ประชาชนที่มากับเรือและชาวบางพลีถึงกับขนลุกซู่ เห็นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างก้มกราบนมัสการด้วยความเคารพ และเปี่ยมด้วยสักการะจึงได้พร้อมใจกันอาราธนาตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ถ้าหลวงพ่อจะโปรดคุ้มครองชาวบางพลีให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขแล้ว ก็ขออาราธนาอัญเชิญองค์ท่านให้ขึ้นจากน้ำได้โดยง่ายเถิด"

และก็เป็นที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก เพียงใช้คนไม่มากนักก็สามารถอาราธนาท่านขึ้นจากน้ำได้โดยง่าย ทำให้ประชาชนต่างแซ่ซ้องในอภินิหารของท่านอย่างยิ่ง และได้อาราธนาท่านขึ้นประดิษฐานในพระวิหารซึ่งต้องชะลอท่านขึ้นข้ามฝั่งผนังวิหาร เพราะขณะนั้นหลังคาพระวิหารยังไม่มีและประตูวิหารก็เล็กมาก ต่อจากนั้นท่านได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารนั้นเรื่อยมา ครั้นต่อมาได้รื้อวิหารนั้นอีกเพื่อสร้างเป็นพระอุโบสถที่ถาวร จึงต้องชะลอ อาราธนาองค์ท่านมาพักไว้ยังศาลาชั่วคราว จนกระทั่งได้สร้างพระอุโบสถสำเร็จแล้ว จึงได้อาราธนาท่านไปประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ เพื่อเป็นพระประธานของวัดบางพลีใหญ่ใน การที่ท่านได้พระนามว่า "หลวงพ่อโต" นั้นคงเป็นเพราะองค์ของท่านใหญ่โตสมกับที่ประชาชนเรียก คือใหญ่โตกว่าองค์ที่ลอยน้ำมาด้วยกันทั้ง 2 องค์ จึงถือเป็นนิมิตอันดีให้ประชาชนพากันถวายนามว่า "หลวงพ่อโต" เป็นสิ่งที่เคารพสักการะของชาวบางพลี และเป็นมิ่งขวัญของวัดบางพลีใหญ่ในมาจนตราบเท่าทุกวันนี้

ประวัติวัดบางพลีใหญ่ใน
วัดบางพลีใหญ่ใน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของจังหวัดสมุทรปราการ วัดนี้อยู่ริมคลองสำโรง ห่างจากประตูน้ำสำโรงประมาณ 13 กิโลเมตร มีเนื้อที่ 40 กว่าไร่ เนื้อที่ตั้งวัดประมาณ 35 ไร่เศษ
วัดบางพลีใหญ่ใน เดิมชื่อ วัดพลับพลาชัยชนะสงคราม ชาวบ้านบริเวณใกล้เคียงเรียกวัดนี้ว่า วัดใหญ่ หรือวัดหลวงพ่อโต วัดนี้ทางประวัติศาสตร์จากโบราณคดีจารึกสืบต่อกันแต่ครั้งโบราณกาลกล่าวว่าสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยามาถึง 2 ครั้ง มาในปี พ.ศ. 2112 และ พ.ศ. 2310 สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงกอบกู้อิสรภาพสู่ความเป็นไทยอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ทรงกระทำสงครามและได้มีชัยชนะแก่พม่าหลายต่อหลายครั้ง จนอาณาเขตของประเทศไทย (สยาม) ขยายออกไปอีกอย่างกว้างขวาง
ส่วนชื่อของตำบลนั้นได้มีชื่อว่า "บางพลี" ก็เพราเหตุที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทรงกระทำพิธีพลีกรรมบวรสรวงนั่นเอง ดังนั้นประชาชนทั้งหลายจึงเรียกว่า บางพลี และวัดพลับพลาชัยชนะสงครามก็ถูกเรียกตามตำบลนั้นอีกว่า "วัดบางพลี" ซึ่งชื่อนี้ประชาชนนิยมเรียกกันมากกว่าชื่อเดิม แต่เนื่องมาจากต่อมาได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกอยู่ทางด้านนอก เรียกกันว่าวัดบางพลีใหญ่กลาง ส่วนวัดพลับพลาชัยชนะสงครามเป็นวัดที่อยู่ทางด้านใน มีอาณาเขตใหญ่โต ซึ่งต่อมาได้พระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นมิ่งขวัญของวัดจึงรียกว่า "วัดบางพลีใหญ่ใน" หรือ "วัดหลวงพ่อโต" มาจนตราบเท่าทุกวันนี้

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม

หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติการาม
ข้อมูลประวัติ
เกิด ปี พ.ศ.2390
อุปสมบท ปี พ.ศ.2417 ขณะอายุ 27ปี
มรณภาพ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2477
สิริอายุ 87 ปี 60 พรรษา
หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ ท่านเป็นคนพื้นเพจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยกำเนิดสนใจวิชาอาคม และคาถาต่าง ๆ มาแต่รุ่นหนุ่ม เฉพาะอย่างยิ่งวิชาคงกระพันชาตรียากจะหาใครเสมอเหมือน
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
วัตถุมงคลที่ท่านได้ปลุกเสกเอาไว้มีหลายชนิด เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ และเหรียญ เหรียญเสมารุ่นแรกสร้างเมื่อปี พ.ศ.2469 โดยหลวพ่ออั้นเป็นผู้ดำเนินงานสร้างปลุกเสกโดยหลวงพ่อกลั่น เพื่อแจกแก่ผู้สมทบทุนสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ มี 3 พิมพ์คือ พิมพ์นิยมขอเบ็ด พิมพ์หลังเสี้ยนตอง และพิมพ์หลังเรียบ ทุกพิมพ์เป็นเหรียญเนื้อทองแดง
พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
หลวงพ่อกลั่น ท่านเด่นทางคงกระพันชาตรี

หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์

หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์
ข้อมูลประวัติ
ประวัติของท่านไม่ปรากฏแน่ชัดนัก ส่วนใหญ่จะเป็นเพียงเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาว่าท่าน เกิดราวปลายรัชกาลที่ 2 ครอบครัวเป็นชาวประมง จังหวัดเพชรบุรี ท่านได้อุปสมบทที่วัดพระทรง และต่อมาในภายหลังได้ออกธุดงค์ ไปสักระยะหนึ่งท่านก็มาบูรณปฏิสังขรณ์วัดเครือวัลย์ที่จังหวัดชลบุรี ซึ่งปัจจุบันพระปิดตาที่ท่านสร้างขึ้นเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลาย และท่านก็ถือได้ว่าเป็นสุดยอดพระเกจิชื่อดังองค์หนึ่ง
วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
วัตถุมงคลที่ท่านได้สร้างขึ้นและได้รับความนิยมในหมู่นักเลงพระได้แก่
- พระปิดตา พิมพ์ใหญ่หลังแบบ
- พระปิดตาพิมพ์ใหญ่หลังเรียบ
- พระปิดตาพิมพ์กลาง
- พระปิดตาพิมพ์เล็ก
- พระพิมพ์ลอยองค์
พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
พุทธคุณที่ได้เล่าขานกันสืบทอดกันมาเกี่ยวกับวัตถุมงคลที่ท่านสร้าง ก็ได้แก่ ทางด้านเมตตามหานิยม

หลวงพ่อกล่อม วัดโพธาวาส สุราษฎร์ธานี

หลวงพ่อกล่อม วัดโพธาวาส สุราษฎร์ธานี
ข้อมูลประวัติ
หลวงพ่อกล่อม หรือ พระครูวิธูรธรรมศาสตร์ เป็นคนพื้นเพจังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยกำเนิด เป็นชาวบ้านริมคลองท่ามะตูม อ.เมือง เกิดเมื่อ ปี พ.ศ.2388 นามเดิมคือ กล่อม แก้วกล่อม ก่อนอุปสมบทเคยแต่งงานมาแล้วกระทั่งมีบุตร 1 คน
อุปสมบท ปี พ.ศ.2411
มรณภาพ 23 มกราคม พ.ศ.2474
สิริอายุ 86 ปี 62 พรรษา

วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
ในเรื่องวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังท่านสร้างไว้มีจำนวนไม่มากนัก เช่น ตะกรุดโทน ตะกรุด 5 ดอก ตะกรุด 3 ดอก และสาลิกาลิ้นทอง
พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
หลวงพ่อกล่อม ท่านเดินทางคงกระพันชาตรี



ที่มา p.moohin